Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player

อำเภอกุดจับ
เครือข่ายโรงพยาบาล
จังหวัดอุดรธานี
หน่วยงานสาธารณสุข
มติบอร์ดให้ สปสช.เก็บ 30 บาท เริ่ม 1 สิงหานี้

คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณาเกณฑ์ร่วมจ่าย 30 บาท คาดเริ่ม 1 ส.ค.นี้ ใช้หลักการสร้างศักดิ์ศรีให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกว่าจะร่วมจ่ายหรือไม่    ส่วนกลุ่มที่ได้รับยกเว้นมีอยู่แล้ว เป็นกลุ่มเดิม เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ   คนยากจน    คาดร่วมจ่าย 30 บาท จะทำให้รพ.มีเงินเพิ่มขึ้นปีละ 2,000 ล้านบาท ซึ่งประชาชนจะได้รับบริการดีขึ้น ทั้งจากนโยบายฉุกเฉินมาตรฐานเดียว พร้อมเดินหน้านโยบายรับบริการได้ทั้งวัน    เปลี่ยนหน่วยบริการจากปีละ 2 ครั้งเป็น 4 ครั้ง เพื่อเพิ่มความสะดวก
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องทางเลือกเชิงนโยบายการร่วมจ่ายค่าบริการ 30 บาทต่อครั้งของการใช้บริการ
   นายวิทยา กล่าวว่า   การร่วมจ่าย 30 บาทในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ เมื่อปี 2544 แต่ก็ได้มีการยกเว้นบางกลุ่มไว้ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ    คนยากจน (ใช้เกณฑ์กระทรวงมหาดไทย )   เป็นต้น แต่ต่อมาในปี 2549 ได้มีการยกเลิกการร่วมจ่ายทั้งหมด อย่างไรก็ตามการร่วมจ่ายค่าบริการยังคงมีประโยชน์เพื่อปรับพฤติกรรมของผู้รับบริการ และสามารถสร้างคุณค่าของการรับบริการได้ ซึ่งรัฐบาลนี้มีนโยบายในการร่วมจ่าย 30 บาท เพื่อเป็นมาตรการในการสร้างการมีส่วนร่วมและความรู้สึกเป็นเจ้าของของประชาชนในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข เป็นมาตรการในการกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความตระหนักและร่วมมือในการดูแลตนอง รวมทั้งรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเอง เป็นกลไกในการพัฒนาคุณภาพของหน่วยบริการในระบบ และเงินรายได้จากการร่วมจ่ายสามารถนำมาใช้ในการปรับคุณภาพการบริการ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของเงินร่วมจ่ายและคุณภาพที่เพิ่มขึ้น
   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า    สำหรับแนวทางการร่วมจ่าย 30 บาทนั้น คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2555 นี้   โดยมีการร่วมจ่ายกรณีที่ประชาชนไปใช้บริการและได้รับยาเท่านั้น   หากไม่มีการสั่งยาก็ไม่ต้องร่วมจ่าย    จะยกเว้น คนยากจน(จากฐานข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย) และผู้ที่สังคมควรช่วยเหลือเกื้อกูล ทั้งนี้หน่วยบริการจะมีเงินรายได้จากการร่วมจ่ายคาดว่าปีละ 2,000 ล้านบาท   โดยในอนาคต จะนำไปใช้พัฒนาคุณภาพปฐมภูมิ    หรือการสนับสนุนค่าตอบแทนบุคลากรเป็นต้น   
ทั้งนี้    สำหรับกลุ่มที่ต้องร่วมจ่าย 23 ล้านคน และอีก 24 ล้านคนเป็นกลุ่มยกเว้นการร่วมจ่าย ซึ่งรพ.สามารถนำไปใช้พัฒนาคุณภาพบริการเพื่อกลับมาตอบสนองตามความต้องการของประชาชนได้ เช่น การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ หรือนำไปจ่ายค่าตอบแทนเพื่อเพิ่มคุณภาพบริการให้กับประชาชน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าตอบแทนตามภาระงานที่เพิ่มขึ้น
   นายวิทยากล่าวว่า    สำหรับคุณภาพที่ประชาชนจะได้รับจากบริการที่ดีขึ้นได้แก่ ประการแรก   ระบบฉุกเฉินสามารถรับบริการที่ใดก็ได้ โดยไม่ต้องสำรองจ่ายก่อน และไม่ถูกถามสิทธิ์ ซึ่งได้ดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 55    ประการที่    2.การเปลี่ยนหน่วยบริการกรณีย้ายภูมิลำเนาจะง่ายขึ้นจากเดิมที่เปลี่ยนได้ปีละ 2 ครั้ง จะปรับให้มีการเปลี่ยนได้มากขึ้น เป็น 4 ครั้ง    ประการที่ 3.   ประชาชนจะได้รับบริการตามนโยบายรับบริการได้ทั้งวัน    ซึ่งหน่วยบริการทั่วประเทศจะเปิดให้บริการตั้งแต่เช้า    บ่าย โดยเริ่มที่   รพ.ทั่วไป รพ.ศูนย์ รพ.ในสังกัดอื่นๆ เช่น รพ.มหาวิทยาลัย   เป็นต้น    เพื่อลดความแออัดของการบริการ      ขณะเดียวกัน   ประชาชนสามารถขอเปลี่ยนหน่วยบริการประจำในพื้นที่ได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยใช้บัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้านเท่านั้น   

ข่าวที่น่าสนใจอื่นๆ เพื่มเติม